close

30 ต.ค. 2566

The Age of AI Disruption : เมื่อ AI พร้อมเป็นได้ทุกอย่าง โลกการทำงานจะเปลี่ยนไปอย่างไร

Business Digitization

AI คืออะไร ทำไมถึงเป็นเทคโนโลยีที่ทรงอิทธิพลแห่งยุค

ว่ากันว่าอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ศักยภาพของมนุษย์จะถูกแทนที่ด้วย AI ปัญญาประดิษฐ์ที่มนุษย์คิดค้นขึ้นเพื่อเอาชนะขีดจำกัดในการทำงาน และเสริมประสิทธิภาพของเทคโนโลยีให้ล้ำหน้ามากยิ่งขึ้น จากเดิมที่ AI ถูกออกแบบให้คิดและตัดสินใจได้ไม่ต่างจากมนุษย์ ปัจจุบัน AI ได้พัฒนาไปอีกขั้นให้มีความคิดสร้างสรรค์ เช่นเดียวกับมนุษย์ที่มีสมองซีกซ้ายและซีกขวา ทำงานอย่างสอดประสานกัน 


ถึงเวลาแล้วที่เราต้องทำความรู้จักสมองแห่งยุคดิจิทัล เพื่อให้เข้าใจว่า AI คืออะไร ความเป็นมาของเทคโนโลยีนี้เป็นอย่างไร และมนุษย์จะทำงานร่วมกับ AI อย่างไร ให้มีประสิทธิภาพไร้ขีดจำกัด


AI คืออะไร

AI is a machine’s ability to perform the cognitive functions we associate with human minds, such as perceiving, reasoning, learning, interacting with an environment, problem solving, and even exercising creativity. -  Mckinsey (What is AI?)


Mckinsey บริษัทที่ปรึกษาระดับโลกได้นิยามไว้ว่า AI คือความสามารถของเครื่องจักรที่สามารถทำงานได้ไม่ต่างจากการทำงานขั้นสูงของสมองมนุษย์ ทั้งการรับรู้ การให้เหตุผล การเรียนรู้ การมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งต่าง ๆ การแก้ไขปัญหา หรือแม้แต่การใช้ความคิดสร้างสรรค์ 


AI ย่อมาจาก Artificial Intelligence หรือเรียกอีกอย่างว่าปัญญาประดิษฐ์ คือการสร้างเทคโนโลยีที่มีความสามารถในการเรียนรู้ คิดวิเคราะห์ ตัดสินใจ หรือแก้ปัญหาได้เองเช่นเดียวกับปัญญาของมนุษย์ ปัญญาประดิษฐ์ที่พบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน เช่น ระบบการแนะนำสินค้าหรือเนื้อหาในแอปพลิเคชันหรือสตรีมมิง ChatBot หรือผู้ช่วยส่วนตัวในระบบปฏิบัติการต่าง ๆ เช่น Siri จาก iOS


Artificial Intelligence/ Machine Learning/ Deep Learning
3 ประสาน สู่การสร้างมันสมองดิจิทัล

ในยุคที่โลกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์คือกุญแจสำคัญที่องค์กรต่าง ๆ ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ซึ่งปัญญาประดิษฐ์ที่นำมาใช้จะประกอบไปด้วยการเรียนรู้ 3 ระดับ คือ Artificial Intelligence (AI) Machine Learning (ML) และ Deep Learning (DL)


ความฉลาดขั้นแรกเริ่มด้วย Artificial Intelligence หรือ AI คือการทำให้เครื่องจักร (Machine) ทำงานได้ไม่ต่างจากสมองของมนุษย์ ด้วยการป้อนโค้ด ข้อมูล และอัลกอริทึมต่าง ๆ เพื่อให้ระบบนำไปแก้ปัญหาได้เองอย่างเป็นขั้นตอน ตามที่กำหนดไว้ในอัลกอริทึม 


ความฉลาดขั้นต่อมาคือการทำให้เครื่องจักรสามารถเรียนรู้ได้เอง เรียกว่า Machine Learning หรือ ML เป็นการสอนอัลกอริทึมของเครื่องจักรให้ฉลาดขึ้นผ่านการป้อนชุดข้อมูลจำนวนมาก (Big Data) จนทำให้เครื่องจักรสามารถเรียนรู้ ทำความเข้าใจสถานการณ์ คาดการณ์ปัญหาที่อาจเกิดขึ้น และตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง โดยความเฉียบคมของ Machine Learning จะขึ้นอยู่กับปริมาณข้อมูลที่ป้อนให้


ความฉลาดขั้นกว่าของ Machine Learning คือการเรียนรู้เชิงลึก เรียกว่า Deep Learning หรือ DL ที่สามารถทำงานได้ไม่ต่างจากระบบประสาทในสมองของมนุษย์ สามารถถอดรหัสข้อมูล จัดหมวดหมู่ และเชื่อมโยงข้อมูลที่มีอยู่เดิมกับข้อมูลชุดใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง ผ่านการประมวลผลแบบขนาน (Parallel Processing) 


อาจกล่าวได้ว่า การจะสรรค์สร้างเทคโนโลยีให้ทำงานได้ไม่ต่างจากสมองของมนุษย์ ต้องประกอบขึ้นจาก Artificial Intelligence (AI) หรือการจำลองสมองดิจิทัลขึ้นมา แล้วเติมความเฉลียวฉลาดให้มากขึ้นด้วย Machine Learning (ML) และ Deep Learning (DL) ซึ่งทั้งหมดนี้เริ่มสร้างจากศักยภาพของมนุษย์ในการเรียนรู้วิทยาการต่าง ๆ และนำความรู้มาพัฒนาต่อยอดสู่การใช้งานปัญญาประดิษฐ์เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน


การใช้ AI เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจ

SCGC ผู้นำธุรกิจเคมีภัณฑ์ครบวงจรเพื่อความยั่งยืน ให้ความสำคัญกับนวัตกรรมและการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้อย่างต่อเนื่อง ในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรม หรือ Industry 4.0 SCGC ได้วางรากฐานองค์กรไปสู่การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เริ่มจากการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ หัวใจหลักของการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีให้เกิดความสำเร็จ มีการส่งวิศวกรไปเรียนรู้ระบบการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ในทุกด้านที่เกี่ยวข้องกับการใช้งาน ทั้งด้านวิศวกรรมเครื่องกล IoT Sensor วิทยาการข้อมูล วิศวกรรมความน่าเชื่อถือ (Reliability Engineering) และอื่น ๆ จนสามารถพัฒนาระบบดูแลโรงงานด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างครบวงจร ยกระดับการบริหารจัดการโรงงานให้กลายเป็นโรงงานอัจฉริยะ (Smart Manufacturing)


การนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ของ SCGC ไม่ได้เข้ามาแทนที่การทำงานของคน แต่เข้ามาช่วยให้บุคลากรของเราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ในปี 2565 ที่ผ่านมา SCGC ไม่มีการหยุดการผลิตจากความผิดปกติของเครื่องจักร (Zero Breakdown) และเรายังเป็นโรงงานโอเลฟินส์รายแรกที่ควบคุมด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลตลอดทั้งกระบวนการ เพื่อให้เทคโนโลยีแต่ละส่วนทำงานสอดคล้องกันทั้งระบบ เทคโนโลยีที่เราพัฒนาขึ้นประกอบด้วย Digital Twin โรงงานเสมือนที่จำลองกระบวนการผลิต Real Time Optimizer โปรแกรมคำนวณวิธีการผลิตให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และ Advanced Process Control ระบบควบคุมกระบวนการผลิตอัตโนมัติ นอกจากนี้ยังนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาช่วยบริหารจัดการการใช้ทรัพยากร ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของธุรกิจ และการบริหารจัดการโรงงานให้ดำเนินงานเต็มประสิทธิภาพ

Generative AI คือก้าวต่อไปของปัญญาประดิษฐ์

ล่าสุด เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ก็กลับมาอยู่ในความสนใจของผู้คนทั่วโลกอีกครั้ง ด้วยการอัปเดตมันสมองที่ไม่เพียงแค่คิดวิเคราะห์ ประมวลผลเท่านั้น แต่ยังมีความคิดสร้างสรรค์ไม่แพ้มนุษย์ เราเรียกปัญญาประดิษฐ์รูปแบบนี้ว่า Generative AI 


Generative AI คือวิวัฒนาการอีกขั้นของอัลกอริทึมที่มีความสามารถในการสร้างคอนเทนต์ใหม่ ๆ โดยประกอบขึ้นจากแบบจำลองที่หลากหลาย อาทิ Generative Adversarial Networks (GANs) คือการทำงานร่วมกันของ Generator ทำหน้าที่สร้างข้อมูลขึ้นใหม่ และ Discriminator ทำหน้าที่ตรวจจับว่าข้อมูลที่สร้างขึ้นใกล้เคียงกับสิ่งที่ต้องการหรือไม่ เหมือนหรือต่างอย่างไร เพื่อให้ Generator สร้างผลงานได้ถูกต้องที่สุด Recurrent Neural Networks (RNNs) ระบบประสาทเทียม จำลองความสามารถของสมองในการประมวลผลข้อมูลลำดับ Transformers การประมวลผลที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น ทำให้การสร้างเรื่องราว หรือแปลภาษาตรงตามความหมาย Autoregressive Models ความสามารถในการทำนายข้อมูลต่อไป จากข้อมูลก่อนหน้าที่มีอยู่ และ Neural Style Transfer Models ช่วยในการผสมผสานศิลปะแขนงต่าง ๆ เช่น การดัดแปลงรูปภาพ เป็นต้น


Generative AI สามารถสร้างสรรค์ผลงานได้หลากหลาย ทั้งข้อความ ภาพ เสียง วิดีโอ โดยผลงานที่ได้จะขึ้นอยู่กับคำสั่ง (prompt) ที่ผู้ใช้งานป้อนเข้าไป ทุกวันนี้ Generative AI ได้สร้างผลงานที่มนุษย์ยังต้องทึ่งในความสามารถ ด้วยการประมวลผลเชิงลึก ที่ล้ำกว่าสมองของมนุษย์ จนเกิดเป็นข้อถกเถียงในวงการศิลปะว่า Generative AI จะมาแทนที่ฝีมือของศิลปิน หรือประสบการณ์ที่บรรดาครีเอทีฟสั่งสมมาตลอดระยะเวลาการทำงานหรือไม่


หากเปรียบ AI คือการจำลองมันสมองของมนุษย์ ก็เท่ากับว่า AI แบบเดิม หรือ Traditional AI คือสมองซีกซ้ายที่ใช้คิดคำนวณ และวิเคราะห์ข้อมูล ส่วน Generative AI คือสมองซีกขวาที่ประกอบด้วยความคิดสร้างสรรค์อันเต็มเปี่ยม ส่วนมนุษย์ก็มีหน้าที่นำปัญญาประดิษฐ์มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการทำงาน ขับเคลื่อนธุรกิจ และท้าทายขีดจำกัดของเทคโนโลยีให้ล้ำหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง

ที่มา

1

2

3

4


Is this article useful ?